การลดต้นทุนการผลิต
การลดต้นทุนการผลิตมังคุดเพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้แก่เกษตรกรไทย
1. พันธุ์
คำแนะนำกรมวิชาการเกษตร
- เลือกต้นพันธุ์ที่แข็งแรง มีระบบรากสมบูรณ์ไม่ขดงอ อายุไม่น้อยกว่า 2 ปี มีความสูงไม่ต่ำกว่า 30 เซนติเมตร
วิธีปฏิบัติโดยทั่วไป
- นิยมซื้อต้นพันธุ์จากเรือนเพาะชำทั่วไป
การลดต้นทุน
- ต้องเลือกต้นพันธุ์ที่สมบูรณ์ไม่แคระแกนหรือเป็นโรค
- ใช้ต้นพันธุ์ที่ดีของตนเองขยายพันธุ์
2. พื้นที่ปลูกที่เหมาะสม
คำแนะนำกรมวิชาการเกษตร
- สภาพพื้นที่ ควรเป็นดินร่วนปนทราย มีความอุดมสมบูรณ์สูง ระบายน้ำได้ดี หน้าดินลึกกว่า 50 เซนติเมตร ระดับน้ำใต้ดินลึกมากกว่า 1 เมตร มีความเป็นกรดด่าง 5.5-6.5 พื้นที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 0-650 เมตร ความลาดเอียง 1-3%
- สภาพภูมิอากาศ อุณหภูมิที่เหมาะสมระหว่าง 25-35 องศาเซลเซียส ปริมาณน้ำฝนมากกว่า 2,000 มิลลิเมตร/ปี การกระจายตัวของฝนดี มีช่วงแล้งต่อเนื่องน้อยกว่า 3 เดือน/ปี และความชื้นสัมพัทธ์ 70-80%
- แหล่งน้ำ ควรมีปริมาณเพียงพอตลอดปี ไม่มีสารอินทรีย์และอนินทรีย์ที่เป็นพิษปนเปื้อน มีความเป็นกรด-ด่างของน้ำระหว่าง 6.0-7.5
วิธีปฏิบัติโดยทั่วไป
- ปลูกตามพื้นที่ที่มีอยู่โดยไม่พิจารณาถึงต้นทุนปัจจัยที่เพิ่มขึ้น
การลดต้นทุน
- ควรปลูกมังคุดในสภาพพื้นที่และอากาศที่เหมาะสมจะช่วยลดต้นทุนด้านปัจจัยการผลิต
3. การเตรียมพื้นที่ปลูก
คำแนะนำกรมวิชาการเกษตร
- พื้นที่ดอน ไถพรวน ปรับพื้นที่ให้เรียบ หากมีปัญหาน้ำท่วมขังให้ขุดร่องระบายน้ำ
- พื้นที่ลุ่ม ควรยกโคกปลูก หากมีน้ำท่วมขังมากและนาน ควรยกร่องสวนให้มีขนาดสันร่องกว้างไม่น้อยกว่า 6 เมตร ร่องน้ำกว้าง 1.5 เมตร ลึก 1 เมตร มีระบบระบายน้ำเข้า-ออกเป็นอย่างดี ยง 1-3%
วิธีปฏิบัติโดยทั่วไป
การลดต้นทุน
- การเตรียมพื้นที่ปลูกที่เหมาะสม สามารถช่วยลดปัญหาน้ำท่วมขังและโรคที่จะตามมา
4. การปลูก
คำแนะนำกรมวิชาการเกษตร
- การวางผังปลูก มี 2 ระบบ คือ ระบบสี่เหลี่ยมจัตุรัส หรือสามเหลี่ยมด้านเท่า ระยะระหว่างแถวและต้น 8×8 เมตร หรือ 10×10 และระบบแถวกว้างต้นชิด ระยะปลูกระหว่างแถว 8×3 เมตร หรือ 10×5 เมตร
- วิธีการปลูก มี 2 แบบ คือ การปลูกแบบเตรียมหลุมปลูก เหมาะกับพื้นที่ค่อนข้างแห้งแล้ง และการปลูกแบบนั่นแท่นหรือยกโคก เหมาะกับพื้นที่ฝนตกชุก ช่วยให้ดินระบายน้ำได้ดีขึ้น
วิธีปฏิบัติโดยทั่วไป
- นิยมปลูกแบบสีเหลี่ยมจัตุรัส
การลดต้นทุน
- ใช้ระยะปลูกและวิธีปลูกที่เหมาะสม สะดวกต่อการจัดการแปลงและการดูแลรักษา ทำให้ผลผลิตสูงและมีคุณภาพ
5. การใส่ปุ๋ย
คำแนะนำกรมวิชาการเกษตร
- เก็บตัวอย่างดินและตัวอย่างพืชส่งวิเคราะห์ปริมาณธาตุอาหารและใส่ปุ๋ยให้สอดคล้องกับค่าวิเคราะห์ดินและใบ หรือ
- การใส่ปุ๋ยหลังการเก็บเกี่ยว: ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ อัตรา 20-30 กิโลกรัม/ต้น ร่วมกับใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา (กิโลกรัม/ต้น) 1/3 ของเส้นผ่าศูนย์กลางทรงพุ่ม
- การใส่ปุ๋ยในช่วงพัฒนาของผล: ใส่ปุ๋ยสัดส่วน 3:1:4 เช่นปุ๋ยสูตร 15-5-20 อัตรา(กิโลกรัม/ต้น) 1 ใน 3 ของเส้นผ่าศูนย์กลางทรงพุ่ม หรือตามค่าวิเคราะห์ดินหลังการติดผลทันที ร่วมกับพ่นปุ๋ยทางใบสัดส่วน 4:1:6 อัตรา 100 กรัม/น้ำ 20 ลิตร
วิธีปฏิบัติโดยทั่วไป
- ไม่มีการวิเคราะห์ธาตุอาหารของดินและใบพืช
- ใส่ปุ๋ยมากเกินความจำเป็น
- ใส่ปุ๋ยสูตรต้นละ 2-3 กิโลกรัม โดยซื้อสำเร็จจากร้านค้า
- ใส่ปุ๋ยคอก
การลดต้นทุน
- ใส่ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดินและความต้องการของพืช และใส่ 3 ครั้ง หลังเก็บเกี่ยว ก่อนออกดอก และเมื่อติดผล
- ผสมปุ๋ยใช้เองลดต้นทุนค่าปุ๋ยได้ 30-50
- ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ร่วมกับปุ๋ยเคมีและปุ๋ยชีวภาพ
- ให้ปุ๋ยในระบบน้ำ ลดต้นทุนการใช้แรงงาน 15-20%
6. การให้น้ำ
คำแนะนำกรมวิชาการเกษตร
- ให้น้ำเพียงพอกับความต้องการของมังคุดในแต่ละช่วงการเจริญเติบโต
- ระยะติดผล อายุผลประมาณ 5 สัปดาห์ ให้น้ำทุก 3 วัน อัตรา 80% ของการให้น้ำปกติ
- ระยะอายุผล 5 สัปดาห์ถึงก่อน 10 สัปดาห์ ให้น้ำอัตรา 90% ของการให้น้ำปกติ
- ระยะอายุผลประมาณ 10-12 สัปดาห์ถึงเก็บเกี่ยว ให้น้ำอัตรา 80% ของการให้น้ำปกติ
วิธีปฏิบัติโดยทั่วไป
- วางระบบน้ำที่ไม่มีประสิทธิภาพ
- ให้น้ำไม่สอดคล้องกับความต้องการของพืช
การลดต้นทุน
- วางระบบน้ำและให้ปุ๋ยทางระบบน้ำที่มีประสิทธิภาพจะลดการใช้แรงงานและลดต้นทุนการผลิต
- ให้น้ำตามความต้องการของพืช
7. การดูแลรักษา
คำแนะนำกรมวิชาการเกษตร
- การพรางแสง เพื่อให้ร่มเงาในช่วงแรกของการเจริญเติบโต อาจใช้วัสดุธรรมชาติช่วยพรางแสง หรืออาจปลูกต้นไม้โตเร็วระหว่างแถวมังคุด เช่น กล้วย ทองหลาง
- การตัดแต่งและควบคุมทรงพุ่ม
มังคุดต้นเล็ก ตัดแต่งเฉพาะกิ่งด้านล่างให้สูงจากพื้นดินประมาณ 50 เซนติเมตร และกิ่งที่ซ้อนทับกันจนแน่นทึบออก
มังคุดที่ให้ผลผลิตแล้ว ตัดแต่งกิ่งที่อยู่ด้านข้างของทรงพุ่มที่ประสานกันออก ให้มีช่องว่างระหว่างชายพุ่มโดยรอบกับต้นข้างเคียงประมาณ 50-70 เซนติเมตร ตัดยอดที่สูงเกินต้องการออก ตัดกิ่งประธานหรือกิ่งรองออกด้านละ 1-5 กิ่ง ให้เลี้ยงกิ่งแขนงที่อยู่ในทรงพุ่มไว้เพื่อได้ผลผลิตเพิ่ม
วิธีปฏิบัติโดยทั่วไป
- ไม่มีการควบคุมทรงพุ่มทำให้ต้นสูงใหญ่
การลดต้นทุน
- การวางระบบปลูกและการควบคุมทรงพุ่มให้เหมาะสมจะช่วยลดแรงงานในการพ่นสารเคมีกำจัดศัตรูพืช และการเก็บเกี่ยว ของการให้น้ำปกติ
8. การป้องกันกำจัดโรคและศัตรูพืช
คำแนะนำกรมวิชาการเกษตร
- สำรวจและประเมินความเสียหายของการถูกทำลายจากโรคหรือแมลงก่อนการใช้สารเคมีป้องกันกำจัด และควรใช้ตามคำแนะนำของกรมวิชาการเกษตร
- โรคที่สำคัญ ได้แก่ โรคใบจุด
- แมลงศัตรูที่สำคัญ จำแนกตามส่วนที่เข้าทำลาย
- ใบ : เพลี้ยไฟ หนอนชอนใบ หนอนกินใบอ่อน
- ดอก : เพลี้ยไฟ ไรขาว
- ผล : เพลี้ยไฟ ไรขาว เพลี้ยแป้ง มด
วิธีปฏิบัติโดยทั่วไป
- ไม่มีการสำรวจประเมินความเสียหายของโรคและแมลงก่อนตัดสินใจพ่นสารเคมี
- พ่นบ่อยครั้งโดยเฉพาะช่วงการออกดอกติดผลเพื่อต้องการผลผลิตมังคุดผิวมัน
การลดต้นทุน
- การสำรวจโรคและแมลงก่อนการพ่นสารเคมี จะช่วยลดการใช้สารมากเกินความจำเป็น รวมทั้งลดการใช้แรงงาน
- ใช้สารเคมีที่ถูกต้องกับโรคและแมลง ช่วยให้การป้องกันกำจัดมีประสิทธิภาพ
- การพ่นละอองน้ำ สามารถลดปัญหาเพลี้ยไฟในช่วงออกดอกติดผล ซึ่งประหยัดกว่าการใช้สารเคมี
- การจัดการศัตรูพืชแบบผสมผสาน (IPM)
- การควบคุมทรงพุ่มไม่ให้ใหญ่เกินไป ช่วยลดการใช้สารเคมีและแรงงานในการฉีดพ่น
9. การป้องกันกำจัดวัชพืช
คำแนะนำกรมวิชาการเกษตร
- วัชพืชที่สำคัญ ได้แก่ วัชพืชฤดูเดียว เช่น หญ้าขจรจบ และหญ้านกสีชมพู วัชพืชข้ามปี เช่น หญ้าคา หญ้าชันกาดหรือแห้วหมู กำจัดเมื่อวัชพืชปกคลุมพื้นที่สวนมากกว่าหรือเท่ากับ 90% ของพื้นที่ ทั้งหมดและมีความสูงเฉลี่ยมากกว่าหรือเท่ากับ 30 เซนติเมตร. โดยตัดให้สั้นทุก 1-2 เดือน หรือใช้สารกำจัดวัชพืชเป็นครั้งคราว
วิธีปฏิบัติโดยทั่วไป
- ใช้การพ่นสารเคมีร่วมกับการตัด
การลดต้นทุน
- ใช้ตามคำแนะนำของ GAP ของกรมวิชาการเกษตร
10. การเก็บเกี่ยวและการปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยว
คำแนะนำกรมวิชาการเกษตร
- เก็บผลในระยะสายเลือด
- เลือกแรงงานที่มีความชำนาญในการเก็บเกี่ยว
- เลือกใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมกับการเก็บเกี่ยว
- มีสถานที่เหมาะสมสำหรับคัดแยกผลิตผลคุณภาพ
- มีแผนการนำผลิตผลด้อยคุณภาพไปใช้ประโยชน์
วิธีปฏิบัติโดยทั่วไป
- ใช้แรงงานเก็บเกี่ยวจำนวนมาก โดยคิดราคาเก็บเกี่ยวเป็นกิโลกรัม
การลดต้นทุน
- มีการควบคุมทรงพุ่ม รวมทั้งการควบคุมให้ออกดอกพร้อมกัน เพื่อสะดวกในการจัดการเก็บเกี่ยว และลดการใช้แรงงาน
- ลดการสูญเสียของผลผลิตไม่เกิน 10% ต่อการเก็บเกี่ยวแต่ละครั้ง เพิ่มผลผลิตที่มีคุณภาพ เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น